Serum Face Lift : PRP

คือ โปรแกรมการใช้เกล็ดเลือดของเราที่ได้จากการเจาะเลือด และนํามาใช้เครื่องปั่นแยกเอาเฉพาะน้ำเหลือง ที่อุดมไปด้วยเกล็ดเลือด (Platelet-Rich Plasma) ซึ่งจะมีความเข้มข้นของเกล็ดเลือดมากกว่าปกติถึง 5 เท่า เพราะในตัวเกล็ดเลือดนี้จะอุดมไปด้วย โกร์ธแฟคเตอร์ (Growth Factor) ซึ่งมีบทบาทในการกระตุ้นการซ่อมแซม การบาดเจ็บของผนังหลอดเลือด

Fat Stem Cell

คือ โปรแกรมการแยกสเต็มเซลจากไขมันของเรา โดยทําการดูดไขมัน บริเวณหน้าท้อง หรือสะโพกและต้นขา และทําการปั่นแยกเอาสเต็มเซล ออกมาจากไขมัน ซึ่งด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยจะทําให้สามารถแยกเอาสเต็มเซลได้ทันที ในเวลาไม่เกิน 1-2 ชั่วโมง ภายหลังจากที่ทําการดูดไขมันออกมาแล้ว โดยไม่ต้องส่งเข้าห้องแล็ปเหมือนในอดีต

ข้อดีของการแยกสเต็มเซลจากไขมัน ด้วยวิธีนี้ เป็นเซลของเราเอง มั่นใจ ในความปลอดภัยแน่นอน ได้สเต็มเซลทันที มีศักยภาพสูง และไม่ต้องผ่านการเก็บ หรือการเพาะเลี้ยง ซึ่งจะทําให้ศักยภาพของสเต็มเซลลดลง และตัดปัญหา เรื่องการปนเปื้อน โอกาสการแพ้น้อยมาก ๆ ประหยัด สามารถเลือกปริมาณไขมัน ที่จะดูดตามจํานวนที่ต้องการ ตั้งแต่ 50-200 ซี.ซี. (บางเครื่องต้องใช้ไขมัน ขั้นต่ำตั้งแต่ 200-400 ซี.ซี. ขึ้นไป ไม่สามารถทําในปริมาณน้อย ๆ ได้)

สเต็มเซลที่แยกออกมาแล้วสามารถเอามาใช้กับตนเองได้ ดังต่อไปนี้

  1. ฉีดเข้าเส้นเลือด เพื่อการซ่อมแซมฟื้นฟูร่างกาย โดยรวมทั่ว ๆ ไป โรคหลอดเลือดหัวใจและสมองเสื่อม เบาหวาน
  2. ฉีดเข้าสะโพก เพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกายกระตุ้นภูมิคุ้มกันและกระตุ้นผิวพรรณโดยทั่วไป
  3. ฉีดเข้าผิวหน้าและหลังมือ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นลดริ้วรอยและทําให้ผิวพรรณกระจ่างสดใสดูอ่อนเยาว์ขึ้น
  4.  ฉีดรอบดวงตา เพื่อป้องกันและฟื้นฟูภาวะจอประสาทตาเสื่อม
  5. ฉีดเข้าข้อเข่ารอบ ๆ ข้อกระดูกสันหลัง เพื่อลดการอักเสบและชะลอการเสื่อมของข้อ
  6.  ฉีดเข้าหนังศีรษะ เพื่อกระตุ้นและฟื้นฟูรากผม แก้ปัญหาผมบางและผมร่วง

นอกจากนี้แล้ว เครื่องนี้ยังมีคุณสมบัติที่จะสามารถ

  1. แยกและบ่งชี้ได้ว่าเซลที่แยกจากไขมันของเราออกมานั้นเป็นสเต็มเซลจริง ๆ 
  2. นับจํานวนสเต็มเซลที่ได้ว่ามีปริมาณมากน้อยเพียงใด
  3. บอกได้ว่าเซลที่แยกได้เป็นเซลที่ยังมีชีวิต (VIABLE and ACTIVE) กี่เปอร์เซ็นต์และสเต็มเซลที่เราแยกได้นี้ ยังสามารถที่จะนําไปผสมกับไขมันที่เราแยกออกมา แล้วฉีดกลับเข้าไปในบริเวณต่าง ๆ ของร่างกายที่ต้องการเพิ่มปริมาณหรือสัดส่วนของชั้นไขมันให้ได้สัดส่วนที่มีมิติสวยงาม (VOLUMETIC EFFECTS) เหมือนการฉีดฟิลเลอร์ได้อีกด้วย ซึ่งในกรณีนี้จะต้องทําการฉีดไขมันมากกว่าปกติถึง 2 เท่า โดยแบ่งครึ่งหนึ่งมาแยกเป็นสเต็มเซล แล้วผสมกับไขมันอีกครึ่ง ที่เหลือเพื่อฉีดกลับเข้าไป

โดยบริเวณที่นิยมทําการฉีดเติมสเต็มเซลกับไขมัน ได้แก่ หน้าอก บริเวณใบหน้า เช่น แก้มตอบ ร่องแก้ม และขมับ เป็นต้น

MSC Program Face Body Joint

สเต็มเซลล์ (Stem Cell) หรือ เซลล์ต้นกําเนิด คือเซลล์ของสิ่งมีชีวิตที่มีศักยภาพ ที่จะแบ่งตัวและพัฒนาไปเป็นเซลล์ชนิดอื่น ๆ ได้ เพื่อใช้ในการทดแทนและซ่อมแซมอวัยวะ ที่เสื่อมสภาพจากโรค และความชรา ทุก ๆ วันร่างกายของเรา จะมีการตายของเซลล์เกิดขึ้น เช่น การตายของเซลล์ชั้นบนของผิวหนังที่กลายเป็นขี้ไคล หรือการตายของเม็ดเลือดแดง (ที่มีอายุเพียง 120 วัน) ในคนที่มีอายุน้อย สเต็มเซลล์ก็จะสามารถแบ่งตัวมาทดแทนเซลล์ที่ตายเหล่านี้ได้ แต่เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น ปริมาณสเต็มเซลล์ที่เรามีอยู่ก็จะน้อยลงหรือมีการเสื่อมสภาพไป ผลที่เกิดขึ้นก็คือความเสื่อมในทุก ๆ อวัยวะและโรคในผู้สูงอายุ เนื่องจากปราศจากการซ่อมแซมจากสเต็มเซลล์ที่มีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุผลดังกล่าว นักวิทยาศาสตร์จึงให้ความสนใจต่อการเพาะเลี้ยง สเต็มเซลล์ โดยหวังที่จะมาใช้ในการรักษาโรคถือเป็นวิทยาการใหม่ที่เรียกว่า Regenerative medicine (เวชศาสตร์ฟื้นฟูสุขภาพ) คือการใช้เซลล์มาช่วยในการรักษาโรค (cell-base therapy) แทนที่จะใช้แต่ยา เพียงอย่างเดียว

ในปัจจุบันเราจึงหันมาเก็บสเต็มเซลล์จากกระแสโลหิตแทน โดยการฉีดยาที่มีชื่อว่า Granulocyte colony stimulating factor (G-CSF) เข้าทางใต้ผิวหนัง 4วัน ติดกัน เพื่อกระตุ้นให้สเต็มเซลล์ ออกมาจากไขกระดูกเข้าสู่กระแสโลหิต เซลล์ต้นกําเนิดจากกระแสโลหิต สามารถถูกจัดเก็บได้ด้วยวิธีการคล้ายกับการบริจาคเลือด ที่เรียกว่า leukapheresis ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงโดยเลือด ส่วนเม็ดเลือดแดงและน้ำเลือดจะถูกคืนกลับสู่ร่างกาย

ในอดีตเมื่อพูดถึงการรักษาด้วยสเต็มเซลล์ แพทย์มักจะหมายถึงการปลูกถ่ายไขกระดูก แต่นักวิทยาศาสตร์พบว่าในไขกระดูกยังมีสเต็มเซลล์ อีกชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Stromal cell หรือ mesenchymal stem cell (MSC) ในระยะเวลา 10 ปี ที่ผ่านมา มีการนําเลือดจากไขกระดูกมาใช้ในการรักษาโรคอื่นๆ โดยการฉีดเข้าเฉพาะที่ เช่น ฉีดเข้าหลอดเลือดหัวใจ ในผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือด, ฉีดเข้าบริเวณแผลที่เท้าในผู้ป่วยเบาหวาน, ฉีดเข้าไขสันหลังในผู้ป่วยที่มีอาการทางสมอง และฉีดเข้าหลอดเลือดพอร์ตัลในผู้ป่วยที่เป็นตับแข็งหรือเบาหวาน ซึ่งเชื่อกันว่า ผลสําเร็จของการรักษาน่าจะมาจากคุณสมบัติ อันน่ามหัศจรรย์ของ MSC ที่มาจากไขกระดูกนั่นเอง

นอกจากไขกระดูก เรายังสามารถเพาะเลี้ยง MSC ได้จากสายสะดือ จากรก จากฟันน้ํานม และจากเซลล์ไขมัน นักวิทยาศาสตร์พบว่า กลไกการออกฤทธิ์ของ MSC น่าจะเกิดการที่ MSC สามารถสร้างสารชีวภาพหลาย ๆ ชนิด ที่ช่วยในการฟื้นฟูสภาพของอวัยวะนั้น ๆ (paracrine effect) และมีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบ (anti-inflammatory effect) มีการนํา MSC มาช่วยในการป้องกันการเกิดภาวะ GvHD ในผู้ป่วยที่ได้รับ การปลูกถ่ายไขกระดูก จากการศึกษาในห้องทดลองพบว่า MSC จะยับยั้ง การเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ป้องกันการตายของเบต้าเซลล์ ซึ่งเป็นเซลล์ที่สร้างอินซูลิน ในสภาวะที่เหมาะสมเราสามารถเลี้ยง MSc ให้เป็นกระดูก และกระดูกอ่อน (cartilage) ซึ่งการค้นพบนี้อาจนําไปสู่การรักษาผู้ป่วยที่มีข้ออักเสบเรื้อรัง หรือคนไข้ที่ประสบอุบัติเหตุและกระดูกถูกทําลายเรียกได้ว่า MSC เป็นความหวังของการนําเซลล์มาช่วยในการรักษาโรค เพราะข้อแตกต่าง จากการใช้ยาซึ่งจะออกฤทธิ์เพียงหนึ่งอย่าง การใช้เซลล์มาช่วยในการรักษาโรค เปรียบเสมือนส่งแพทย์ตัวเล็ก ๆ เข้าไปในร่างกายและการออกฤทธิ์แตกต่างกันไป ตามสภาวะของโรคนั้น ๆ

มีการศึกษาพบว่า คนที่เจ็บป่วยเป็นโรคเรื้อรัง จะมีปริมาณเซลล์ต้นกําเนิดน้อยกว่าคนทั่วไป หรือจะอาจเป็นไปได้ว่าเมื่อคนเราชราลง ประสิทธิภาพและปริมาณของเซลล์ต้นกําเนิดก็อาจจะลดลง เหตุผลดังกล่าวนําไปสู่การรับฝากเซลล์ต้นกําเนิดเพื่อใช้ในยามชรา ซึ่งในปัจจุบันไม่เพียงแต่เราจะสามารถฝาก สเต็มเซลล์ที่มาจากเลือดสายสะดือ แต่เรายังสามารถฝากสเต็มเซลล์ที่มาจากรก,ไขมัน, ฟันน้ำนม, และแม้แต่เลือดประจําเดือน เรื่องที่น่ายินดีก็คือ เนื่องจาก MSC เป็นสเต็มเซลล์ ที่สามารถเพาะเลี้ยงได้ง่าย จึงมีความเป็นไปได้คนที่ได้ฝากสเต็มเซลล์เก็บไว้แต่วันนี้ อาจจะมีแหล่งสํารอง ของสเต็มเซลล์ไว้ใช้อย่างเหลือเฟือในอนาคต