Acne

สิว สิวเกิดได้จาก

ปัจจัยภายนอก

  • เครื่องสําอาง, ผลิตภัณฑ์บํารุงผิว อุดตันรูขุมขน
  • ยา เช่น ยาเสตียรอยด์, ยากันชักบางชนิด กระตุ้นให้เกิดสิว
  • มีการติดเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อ Propionibacterium acne

ปัจจัยภายใน

  • ฮอร์โมนเพศไม่สมดุล ทําให้ต่อมไขมันทํางานมาก
  • ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ภาวะลําไส้รั่ว, แพ้อาหารแฝง, มีเชื้อราในลําไส้

การรักษา

  • กําจัดปัจจัยภายนอกที่ทําให้เกิดสิว เช่น เลือกใช้เครื่องสําอาง และผลิตภัณฑ์บํารุงผิวที่เหมาะสม รวมไปถึงการเลือก ผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสําอาง และใช้อย่างถูกวิธี
  • ใช้ยา การทําทรีตเมนต์ผลักตัวยา Peeling Sponge Acne หรือ การใช้หน้ากาก Phantom (ดูเพิ่มเติมที่หน้า B1-7) และการยิงเลเซอร์รักษาสิว เพื่อช่วยให้สิวที่เกิดขึ้นหายเร็วขึ้น ไม่ทิ้งรอยดําหรือรอยแผลเป็น
  • หากมีอาการที่น่าสงสัยว่าจะเป็นสิวจากปัจจัยภายใน เช่น มีสิวเรื้อรัง รักษาแล้วดีขึ้น แต่ไม่หายขาด มีสิวแม้ว่าจะเลยช่วง วัยรุ่นไปแล้ว สิวเม็ดใหญ่ขึ้นรอบปาก หรือรอบคาง ควรปรึกษาแพทย์ และทําการตรวจวินิจฉัย เพื่อให้แพทย์สามารถรักษาสิวได้ที่ต้นเหตุ

Sponge Acne

เป็นการรักษาสิวโดยการใช้ผงของสาหร่าย Spongilla Lacustris ขัดบนผิวหน้า คล้ายสครับ ซึ่งผลึกต่าง ๆ ในผงสาหร่าย จะแทรกผ่าน เข้าไปในผิวหนังชั้นบน และช่วยทําให้มีออกซิเจนแทรกเข้าผิวไปได้มากขึ้น

กระบวนการนี้ จะช่วยฆ่าเชื้อ P. Acne ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิว ลดความมันบนใบหน้า กระตุ้นให้มีการผลัดเซลล์ผิว ช่วยลดการอุดตัน และลดการอักเสบ ทําให้รอยดําจากการเป็นสิวลดลง ช่วยย่นระยะเวลา ในการรักษาสิว

เหมาะสําหรับผู้มีสิวอักเสบ และสิวอุดตันเป็นจํานวนมาก หลังรักษา จะรู้สึกว่าสิว และผิวหน้าแห้งลง อาจมีการลอกของผิวบ้าง ควรรักษา ต่อเนื่องกัน ทุก 1-2 สัปดาห์ ประมาณ 3-5 ครั้ง ขึ้นกับปัญหาของสิว

Acne Scar (แผลเป็นที่เกิดจากสิว)

      แผลเป็นที่เกิดจากสิว หรือที่เรียกกันว่าหลุมสิว มีหลายชนิด วิธีการรักษาที่ได้รับการยอมรับ และพบว่ามีประสิทธิภาพดี คือ

  • Fractional Laser: เป็นการใช้เลเซอร์แบ่งส่วนพลังงาน เพื่อเจาะทําลาย พังผืดใต้หลุมแผลเป็น และรอให้เนื้อเยื่อที่รอบๆสร้างคอลลาเจนขึ้นมาซ่อมแซม ทําให้หลุมสิวตื้นขึ้น เหมาะกับหลุมสิวชนิดลึก ปากแคบ เลเซอร์มีหลายชนิด เช่น Frexel, E-matrix ซึ่งมีประสิทธิภาพให้ผลการรักษาต่างกันไป

  • Subcision: เป็นการใช้เข็มเซาะตัดพังผืดใต้หลุมสิว ใช้ได้กับหลุมสิว ชนิดตื้น ปากกว้าง ไม่มีขอบ

    

ชนิดของรอยหลุมแผลเป็นสิว

AcneScar_Type

การรักษาแผลเป็นหลุมสิวนั้น สามารถทําให้หลุมสิวตื้นขึ้น ผิวเรียบเนียนขึ้นได้ แต่ไม่สามารถทําให้หายจนไม่เหลือ รอยแผลเป็นเลยได้ ในบางคนที่มีหลุมสิวหลายชนิด อาจต้องรักษาควบคู่กันไปทั้งสองวิธี ควรต้องทําการรักษา ทุก 1 เดือน ติดต่อกัน อย่างน้อย 3 ครั้งขึ้นไป ขึ้นอยู่กับปัญหาหลุมสิวที่มีอยู่เดิม และในระหว่างนี้ ควรรักษา สภาพผิวไม่ให้เป็นสิวขึ้นมาอีก เพื่อไม่ให้กลับมามีหลุมสิวเพิ่มขึ้นอีก

AcneScar_Type_Image

  ขั้นตอนการทํา Subcision

     คือการตัดพังผืดที่อยู่ใต้รอยหลุมแผลเป็นสิวนั้นๆ ในสิวชนิดนี้จะพบว่าไม่ค่อยตอบสนองหรือตอบสนองช้า ในการรักษาด้วยเลเซอร์ โดยจะทําประมาณ 3-5 ครั้ง แล้วตามด้วยการทําเลเซอร์ก็ได้

PORE SIZE (รูขุมขนกว้าง)

รูขุมขนกว้าง รักษาได้โดย

  • Activated Carbon Yag เป็นการใช้ถ่านคาร์บอนทาบริเวณ ที่มีรูขุมขนกว้าง ๆ และยิ่งร่วมกับการยิงเลเซอร์ลดรอยดํา ซึ่งจะทําให้เลเซอร์โฟกัสพลังไปตรงบริเวณรูขุมขน ทําให้เกิดการกระตุ้น และสร้างเนื้อเยื่อใหม่ รูขุมขนจะแลดูเล็กลง
  • Frexel   
  • E-matrix 
  • E-max 

  ในการรักษารูขุมขนกว้างนั้น ควรทําเลเซอร์ซ้ําทุก 3-4 สัปดาห์ อย่างน้อย 3-5 ครั้ง ขึ้นกับสภาพปัญหา

KELOLD (แผลเป็นนูน)

คือ แผลเป็นนูน สามารถรักษาได้โดย

  • ใช้ยาฉีดเข้าที่แผลเพื่อให้แผลเป็นนูนแบนลง จํานวนครั้ง และความถี่ ในการฉีดยาขึ้นกับขนาดและการตอบสนองต่อการรักษาของแผล
  • การใช้เลเซอร์ ช่วยในการทําให้สีของแผล และลักษณะพื้นผิวของแผล กลมกลืนไปกับผิวดีรอบข้างมากขึ้น จํานวนครั้งและความถี่ ในการฉีดยาขึ้นกับขนาดและการตอบสนองต่อการรักษาของแผล

  อย่างไรก็ตามในการรักษาแผลเป็นนูน แพทย์ไม่สามารถทําให้แผลหาย ไปจนไม่เหลือร่องรอยได้ สามารถรักษาให้ยุบลง และดูกลมกลืนกับผิวดี รอบข้างมากขึ้นได้เท่านั้น

Melasma (ฝ้า)

ฝ้า เป็นโรคที่มีการสร้างเม็ดสีเพิ่มขึ้นเห็นเป็นปื้นสีน้ำตาล ในส่วนของใบหน้าที่โดนแสงแดด เกิดได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่ พันธุกรรม ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกําเนิด ยากันชักบางชนิด อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสําคัญ ที่กระตุ้นให้เกิดฝ้า คือ รังสียูวีในแสงแดด

เมื่อเกิดฝ้าขึ้นแล้ว มีวิธีการรักษาเพื่อให้ฝ้าดูจางลง ไม่เห็นเด่นชัด สามารถปกปิดด้วยเครื่องสําอางได้ แต่ไม่สามารถรักษาให้หายขาด ไม่เห็น ขอบเขตของเดิมได้ ดังนั้นการป้องกันไม่ให้เกิดฝ้าขึ้นตั้งแต่แรกจึงสําคัญที่สุด โดยการหลบเลี่ยงแดดด้วยการใช้หมวก ใช้ร่ม หรืออุปกรณ์ ซึ่งสามารถ ช่วยกันแดดได้บังใบหน้า ร่วมกับการใช้ครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพ

(ควรเลือกชนิดที่มี SPF ไม่น้อยกว่า 20 และ PA ไม่น้อยกว่า +++)

หากว่าเกิดมีฝ้าขึ้นแล้ว ก็ไม่ควรละเลยที่จะป้องกันแดด เพื่อไม่ให้ฝ้ากลับเป็นมากขึ้นไปอีก รวมทั้งรักษาฝ้าด้วยวิธีการต่าง ๆ ควบคู่กันไป เพื่อให้ฝ้าที่มีอยู่จางลง

ฝ้าเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่รักษายาก ต้องอาศัยกระบวนการ หลายขั้นตอนร่วมกันเพื่อช่วยลดเม็ดสีที่สะสมอยู่ในชั้นต่าง ๆ ของผิวหนัง ขั้นตอนต่าง ๆ ได้แก่

Melasma Cosmeceuticals

เป็นการใช้ตัวยาต่างๆเพื่อรักษาฝ้า เน้นรักษาฝ้าที่อยู่ในชั้นผิวตื้น แบ่งออกเป็นตัวยา 2 กลุ่มหลักๆ คือ

  • ยายับยั้งการสร้างเม็ดสี : ยา hydroquinone ใช้ทาเฉพาะที่รอยดํา ของฝ้า ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพราะเป็นตัวยาที่มีความเข้มข้นสูง
  • ยาลดการสร้างเม็ดสี : ยาในกลุ่มนี้คือกลุ่ม whitening ใช้ทาทั่วใบหน้า เพื่อขัดขวางกระบวนการสร้างเม็ดสีบางขั้นตอน ยาในกลุ่มนี้มีหลายชนิด สามารถเลือกใช้เดี่ยวๆ หรือใช้ร่วมกันหลายตัว ให้ไปออกฤทธิ์ที่หลายขั้นตอน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพได้

  อย่างไรก็ตาม ตัวยาทั้งสองกลุ่มนั้น มักมีผลทําให้ผิวแห้งลง จึงควรใช้ควบคู่กับผลิตภัณฑ์ บํารุงผิวที่ใช้ความชุ่มชื้นสูง และใช้ยาให้ถูกวิธีสม่ําเสมอ ตามที่แพทย์สั่งด้วย

Sponge Melasma

เป็นการใช้พงของสาหร่ายขัดผิวหน้า คล้ายสครับ ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวทําให้เซลล์ผิวที่มีเม็ดสีสะสมอยู่มาก ผลัดออกไปได้เร็วขึ้น

Peeling

เป็นการใช้กรดผลไม้อย่างอ่อน ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ทําให้เซลล์ผิวที่มีเม็ดสีสะสมอยู่ในปริมาณมาก ผลัดออกไปได้เร็วขึ้น ควรทําในช่วงเริ่มต้นของการรักษาฝ้า เพื่อกําจัดเม็ดสีที่มีอยู่เดิมบางส่วน และ ช่วยเปิดทางให้ยารักษาฝ้าที่จะใช้ทาต่อไปด้วย สามารถทําได้ทุก 1-2 เดือน

Meso melasma

 เป็นการใช้เครื่องมือเพื่อผลักตัวยารักษาฝ้าเข้าไปในชั้นผิวให้ลึกขึ้น เทียบเท่ากับการฉีดยาโดยไม่รู้สึกเจ็บ ควรทําการรักษาอย่างสมํ่าเสมอ ทุก 3-4 สัปดาห์ อย่างน้อย 3-5 ครั้งขึ้นไป จึงจะเริ่มเห็นผลชัดเจน

Laser melasma

 เป็นการรักษาฝ้าโดยใช้เลเซอร์ที่มีความจําเพาะกับเม็ดสีดํา ช่วยรักษา ฝ้าที่อยู่ในชั้นลึก ควรทําการรักษาอย่างสม่ำเสมอทุก 3-4 สัปดาห์ อย่างน้อย 3-5 ครั้งขึ้นไป ขึ้นอยู่กับชนิดของฝ้า หากว่าฝ้าที่มีอยู่ คือต่อการรักษา อาจต้องเปลี่ยนไปใช้เลเซอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงมากขึ้นต่อไป

Melasma Injection

เป็นการใช้ตัวยาที่มีฤทธิ์ขัดขวางการสร้างเม็ดสี ฉีดเข้าไปที่บริเวณผิวที่มีฝ้าโดยตรง ใช้ในกรณีที่ฝ้ามีขนาดใหญ่ และไม่ตอบสนองกับการรักษาอื่นๆ เท่าที่ควร

Trans-M Medication

เป็นการรักษาโดยใช้ยารับประทาน เพื่อช่วยขัดขวางกระบวนการสร้างเม็ดสี

Freckle (กระ)

กระมีทั้งชนิดที่อยู่อื่น และอยู่ลึก มีวิธีการรักษาต่างกัน คือ

  • กระตื้น รักษาโดยยิงเลเซอร์ที่บริเวณกระตื้น หลังทําผิวบริเวณนั้น จะมีรอยสะเก็ด ขนาดเท่ากับกระ อยู่นานประมาณ 1 สัปดาห์ หลังสะเก็ดหลุด จะมีแผลถลอกเล็ก ๆ สีชมพู และค่อย ๆ ตื้นมาจน เป็นผิวปกติภายใน 1 เดือน รักษาเพียงครั้งเดียว หากมีกระเพิ่มขึ้นอีก จึงมารักษา
  • กระลึก รักษาโดยยิงเลเซอร์ที่บริเวณกระลึก หลังทําผิวจะมี สีอมชมพูเล็กน้อย ไม่มีสะเก็ด สีของกระจะค่อย ๆ จางลง ต้องทําซ้ำหลายครั้ง ห่างกันทุก 3-4 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับความเข้มของกระที่มี

Dark Skin (ผิวคลํ้า)

ผิวที่หมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ สามารถรักษาได้ด้วยวิธีต่าง ๆ ได้แก่

  • Meso snow white เป็นการใช้เครื่องมือผลักวิตามินเกลือแร่ บํารุงผิวลงไปในชั้นผิวลึก เพื่อให้เป็นสารอาหารบํารุงผิว ควรบํารุงสม่ำเสมอทุก 1-2 สัปดาห์
  • IPL เป็นการใช้แสงในการรักษา ช่วยกําจัดรอยคล้ำ ทําให้สีผิวกระจ่างใส และเรียบเนียนมากขึ้น สามารถทําได้สม่ำเสมอ ทุก 3-4 สัปดาห์
  • Helios เป็นการใช้เลเซอร์จับทําลายเม็ดสีดํา ช่วยรักษารอยคล้ำ สามารถทําได้ทุก3-4 สัปดาห์ (ดูเพิ่มเติมหัวข้อ ND-YAG หน้า c9)
  • Snow white program เป็นการให้วิตามิน เกลือแร่ และสารต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ เข้าบํารุงร่างกายทางน้ำเกลือ ควรบํารุงทุก 2-4 สัปดาห์