ความเสี่ยงจากการบริโภคแคลเซียม

การให้แคลเซียมเสริมจะช่วยป้องกันภาวะกระดูกพรุนได้จริงหรือไม่?

         ถึงแม้ว่าหลายการศึกษาจะพบว่าการให้แคลเซียมเสริมแต่เพียงอย่างเดียว ให้ผลการตรวจความหนาแน่นของกระดูก (BMD test) มีค่าที่ดีขึ้น (ค่าความหนาแน่นของกระดูกที่ดีขึ้นในการศึกษาส่วนใหญ่ก็ดีขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น) แต่ตัวเลขที่ดีขึ้นนั้น อาจจะไม่ได้แสดงถึงความสมบูรณ์หรือความแข็งแรงของกระดูกได้อย่างแท้จริง เพราะไม่สามารถลดหรือป้องกันกระดูกหักในภาวะกระดูกพรุนได้ นั่นก็คือกระดูกนั้นไม่ได้มีความแข็งแรงเพิ่มขึ้นจริง ๆ เปรียบเทียบคล้ายกับสีที่ทาเคลือบลงไปบนไม้หรือเหล็กที่ผุ หรือการเอาเครื่องสำอางฉาบปกปิดความบกพร่องของผิวหน้า ซึ่งอาจจะให้ผลลัพธ์ที่ดูสวยงามเหมือนใหม่ แต่ไม่ได้ทำให้ไม้หรือเหล็กที่ผุนั้นมีโครงสร้างที่ดีขึ้น หรือหยุดการผุกร่อนได้ สุดท้ายแล้วก็ทรุดโทรมกลับไปเหมือนเดิม (Kurabayashi et al, 2012)

         มีการศึกษาที่พบว่าการให้แคลเซียมเสริมเพื่อลดภาวะกระดูกหักในกระดูกพรุนอย่างได้ผลดีนั้น มักจะมีการให้วิตามินดีร่วมเสริมไปด้วยเสมอ ซึ่งพบว่าผลการวิจัยที่ได้ผลดีนั้น จะให้ปริมาณวิตามินดีเสริม 800 IU (International Unit) ต่อวัน แต่หากให้วิตามินดีเสริมร่วมด้วยในระดับ 400 IU ต่อวันมักไม่ค่อยได้ผลในการป้องกันภาวะกระดูกหักได้ (Jackson et al., 2016; Bischoff-Ferrari et al., 2005) และการให้วิตามินดีเสริมแต่เพียงอย่างเดียวกลับสามารถลดภาวะกระดูกหักได้อย่างน่าเชื่อถือ (Bischoff-Ferrari et al., 2012; Rizzoli et al., 2013)

         นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาเชิงไปข้างหน้า 19 ปี ในผู้หญิง 61,433 คน พบว่าผู้หญิงที่มีการบริโภคอาหารที่มีปริมาณแคลเซียมสูงและสารเสริมอาหารแคลเซียม มีความเสี่ยงสูงขึ้น 2.5 เท่าจากอัตราการตายจากทุกสาเหตุ เทียบกับผู้ที่ไม่ได้ทานแคลเซียมเสริม (Michaelsson et al., 2013)

การให้สารเสริมอาหารอื่น ๆ ก็ป้องกันภาวะกระดูกพรุนได้

         หากศึกษาถึงสรีรวิทยาและชีวเคมีของธรรมชาติการสร้างกระดูกนั้น พบว่าร่างกายมนุษย์เริ่มสร้างกระดูกจากสายคอลลาเจน ซึ่งมีองค์ประกอบที่สำคัญคือกรดอะมิโน โปรตีนและวิตามินซี หลังจากนั้นคอลลาเจนที่กระดูกจะต้องถูกเปลี่ยนแปลงให้มีความพร้อมที่จะเป็นคอลลาเจนของกระดูกที่เรียกว่า Osteocalcin โดยอาศัยวิตามินที่สำคัญ 2 ชนิดก็คือ วิตามินดี และวิตามินเค ซึ่งทำให้คอลลาเจนที่กระดูกแตกต่างไปจากคอลลาเจนบริเวณผิวหนังและเนื้อเยื่ออื่น ๆ นั่นก็คือมีแร่ธาตุต่าง ๆ มาเกาะ ทำให้มีความแข็งแกร่งพร้อมเป็นโครงสร้างของร่างกายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินเค มีบทบาทสำคัญในขบวนการดีคาร์บอกซีเลชัน (Decarboxylation) คือการทำให้กรดอะมิโนชนิดกลูตามิน (Glu) ในโครงสร้างของคอลลาเจนนั้น กลายเป็น Gla-Protein ซึ่งหมายถึงกรดอะมิโนชนิดกลูตามีนที่มีหมู่คาร์บอกซีล (Carboxyl Group:-COOH) ถึง 2 หมู่ทำให้สามารถจับกับแร่ธาตุที่มีประจุ 2+ ต่าง ๆ ได้ เช่น แคลเซียม (Ca2+) แมกเนเซียม (Mg2+)  เป็นต้น ดังภาพประกอบที่ 1

ภาพประกอบที่ 1 สารอาหารที่จำเป็นและสำคัญในการสร้างกระดูก (ดัดแปลงเพื่อประกอบการบรรยาย)

ภาพต้นฉบับแหล่งที่มา: www.nzdl.org (Bone formation markers, Osteocalcin)

         ดังนั้น หากร่างกายขาดสารต่าง ๆ ที่จำเป็นเบื้องต้นในการสร้างกระดูกหรือ Osteocalcin ได้แก่ โปรตีน วิตามินซี วิตามินดี และวิตามินเคแล้วนั้น ก็จะส่งผลทำให้คอลลาเจนที่เป็นโครงสร้างหลักของกระดูกไม่สมบูรณ์ หรือไม่มีความพร้อมให้แร่ธาตุต่าง ๆ ไปเกาะ (Deposit) ที่กระดูกได้นั่นเอง

         มีหลายการศึกษาที่พบว่าการให้วิตามินซีเสริมแต่เพียงอย่างเดียวก็สามารถป้องกันหรือแก้ไขภาวะกระดูกพรุนได้ (Leveille et al., 1997; Moton et al., 2001; Alcantara-Martos et al., 2007; Martinez-Ramirez et al., 2007; Sahni et al., 2009) เราทราบกันอยู่แล้วว่าการขาดวิตามินซีส่งผลทำให้การสร้างคอลลาเจนที่เป็นองค์ประกอบของหลอดเลือดไม่สมบูรณ์ ทำให้เส้นเลือดเปราะ ฉีกขาดง่าย เกิดภาวะเลือดออกตามไรฟัน (Scurvy) หรือโรคลักปิดลักเปิด และวิตามินซีก็มีบทบาทสำคัญในการทำให้คอลลาเจนในกระดูกแข็งแรงเช่นกัน (Munday et al., 2005) ซึ่งในบางรายจึงเรียกภาวะกระดูกพรุนนี้ โดยอุปมาอุปไมยว่าเหมือนกับภาวะลักปิดลักเปิดของกระดูก (Scurvy of bone) เพื่อให้สื่อความหมายเข้าใจว่า ภาวะกระดูกพรุนนั้น คือภาวะการขาดวิตามินซีอีกรูปแบบหนึ่งที่แสดงอาการที่กระดูกนั่นเอง

         นอกจากวิตามินซี จะมีบทบาทสำคัญในการสร้างเส้นใยคอลลาเจนชนิดที่ 3*  ซึ่งจำเป็นต่อการกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์สร้างกระดูก (Osteoblast) แล้ว (Carinci et al., 2005; Maehata et al., 2007) ยังพบว่าวิตามินซียังสามารถกระตุ้นเซลล์ต้นกำเนิดให้พัฒนาไปเป็นเซลล์สร้างกระดูก (Osteoblast) ได้ (Choi et al., 2008) รวมไปถึงยับยั้งการทำงานเซลล์ที่สลายกระดูก (Osteoclast) (Hie and Tsukamoto, 2011) และวิตามินซียังมีบทบาทสำคัญการลดการอักเสบ ลดภาวะเครียดที่เกิดจากออกซิเดชัน (Oxidative stress) ที่เกิดขึ้นภายในกระดูกและส่งผลให้เกิดภาวะกระดูกพรุนได้ด้วยเช่นเดียวกัน (Nakamura et al., 2011; Lacativa and Farias, 2010; Mikirova et al., 2012)

         สำหรับวิตามินดีนั้น เราพบว่ามีบทบาทสำคัญในการป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุน โดยช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมที่ลำไส้ และนำแคลเซียมไปสะสมที่กระดูก แม้จะให้เสริมแต่เพียงอย่างเดียว หรือให้ร่วมกับแคลเซียมด้วยก็ตาม ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น (Bolland et al., 2010; Lips and van Schoor, 2011; Pekkinen et al., 2012)

         ส่วนวิตามินเคนั้น มีบทบาทสำคัญในการเติมหมู่คาร์บอกซิลเข้าไป 1 หมู่ที่ตำแหน่งของกรดอะมิโนกลูตามีนที่เป็นองค์ประกอบของคอลลาเจน ทำให้กลายเป็นหมู่แกมมาคาร์บอกซีกลูตาเมท (-carboxyglutamate: Gla Protein) ซึ่งส่วนของกรดอะมิโนกลูตามีนที่มีหมู่คาร์บอกซี 2 หมู่นี้ ก็จะทำให้แร่ธาตุที่มีประจุ 2+ เช่นแคลเซียมจับกันได้พอดี (ดังภาพประกอบที่ 2) นั่นก็หมายความว่าหากร่างกายขาดวิตามินเค ก็จะทำให้สายคอลลาเจนที่จะสร้างเป็นกระดูกนั้น ไม่มีความสมบูรณ์พร้อมที่จะให้แร่ธาตุต่าง ๆ ที่สะสมในกระดูกเข้าไปเกาะได้นั่นเอง (Shiraki et al., 2000; van Summeren et al., 2009; Saito et al., 2009)

ภาพประกอบที่ 2 แสดงการเปลี่ยนหมู่ของกรดอะมิโนกลูตามีนในสายโปรตีนให้เป็น Gla Protein (Y-carboxyglutamate) ซึ่งเป็นการเติมหมู่คาร์บอกซี (Carboxy group) เข้าไป 1 หมู่ โดยอาศัยเอนไซม์ Y-glutamylcarboxylase ซึ่งอาศัยวิตามินเคเป็น Co-factor

         ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่าภาวะกระดูกบาง (Osteopenia) หรือกระดูกพรุน (Osteoporosis) ที่วินิจฉัยได้จากการเอกซเรย์พิเศษเพื่อตรวจหาความหนาแน่นของกระดูก (BMD test) นั้น ถึงแม้จะพบว่ามีความหนาแน่นของเนื้อกระดูกลดลง (เพราะปริมาณของแคลเซียมในกระดูกลดลง)  นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าร่างกายจะขาดแคลเซียมเสมอไป แต่อาจจะหมายความว่าแคลเซียมไม่สามารถเข้าไปเกาะที่กระดูกได้ เนื่องจากร่างกายขาดสารอาหารอื่น ๆ ที่จำเป็นเบื้องต้นในการสร้างองค์ประกอบของกระดูกที่สำคัญอันได้แก่ โปรตีน วิตามินซี วิตามินดี และวิตามินเค นั่นเอง


* เส้นใยคอลลาเจนมี 6 ชนิดที่พบมาก จากจำนวน 26 ชนิด โดยชนิดที่ 1 และ 3 จะพบมากที่สุดเป็นส่วนใหญ่ในผิวหนัง กระดูก เส้นเอ็น กล้ามเนื้อ และผนังหลอดเลือด ชนิดที่ 2 พบในหมอนรองกระดูกและกระดูกอ่อน ส่วนชนิดที่ 4, 5, 6 พบได้น้อย โดยชนิดที่ 4 พบในเยื่อหุ้มเซลล์และกล้ามเนื้อ ชนิดที่ 5 พบในกล้ามเนื้อและเยื่อหุ้มเซลล์ที่สร้างไข่ในสตรี ชนิดที่ 6 พบในกล้ามเนื้อและผิวหนัง 

การให้สารเสริมอาหารชนิดแคลเซียม อาจจะมีความเสี่ยงอย่างไร

         ดังนั้น หากคอลลาเจนในกระดูกไม่มีความพร้อมที่จะให้แร่ธาตุต่าง ๆ ไปสะสมหรือเรียกว่าไม่เกิด Osteocalcin ที่สมบูรณ์ ก็จะทำให้เกิดภาวะกระดูกบางหรือกระดูกพรุนตามมานั่นเอง และการให้แร่ธาตุแคลเซียมเสริมเข้าไปเพื่อแก้ไขปัญหากระดูกพรุน นอกจากอาจจะไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างจริงจังแล้ว ก็อาจจะทำให้ระดับของแคลเซียมสูงขึ้นได้ทั้งในเลือด หรือในเซลล์และนอกเซลล์ และนำไปสู่ความเสียหายตามมาได้นั่นเอง 

         แร่ธาตุแคลเซียมในร่างกายส่วนใหญ่จะอยู่ในกระดูกถึง 99% มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่อยู่ในกระแสเลือด ซึ่งมีบทบาทสำคัญในเรื่องการแข็งตัวของเลือด การควบคุมความดัน การติดต่อสื่อสารระหว่างเซลล์ การหลั่งสารสื่อประสาท การหดตัวของกล้ามเนื้อและหัวใจ เป็นต้น ซึ่งระดับแคลเซียมในเลือดนี้จะมีค่าไม่สูงมากนัก และร่างกายจะมีกลไกการควบคุมระดับแคลเซียมนี้ ไม่ให้สูงหรือต่ำเกินไป โดยอาศัยฮอร์โมนที่สำคัญ 2 ชนิดนั่นก็คือ ฮอร์โมนแคลซิโทนิน (Calcitonin) และพาราไทรอยด์ (Parathyroid) เพราะหากระดับแคลเซียมสูงขึ้นทั้งภายในเซลล์และภายนอกเซลล์ (Extracellular and Intracellular Calcium) จะก่อให้เกิดปัญหาได้ เนื่องจากภาวะแคลเซียมที่สูงไปนั้นจะเป็นพิษโดยตรงต่อเซลล์ เพราะเป็นการเพิ่มภาวะเครียดที่เกิดจากออกซิเดชัน (Oxidative Stress) ภายในเซลล์อีกด้วย (Parri and Chiarugi, 2013; Embi et al., 2012)

ภาวะแคลเซียมสูงขึ้นในเซลล์ (Increase Intracellular Calcium)

         มีการศึกษาที่พบว่าระดับของแคลเซียมที่สูงขึ้นภายในเซลล์ (Intracellular Calcium) ส่งผลต่อการตายของเซลล์ (Garcia-Prieto et al., 2013; Schwartz et al., 2013) สารพิษส่วนใหญ่มักจะมีกลไกการเป็นพิษโดยการทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของระดับแคลเซียมในเซลล์ ส่งผลทำให้เกิดภาวะเครียดที่เกิดจากออกซิเดชันสูงขึ้น และทำให้เซลล์ตายในที่สุด (Li et al., 2012) 
         โรคเสื่อมหลายชนิดมักจะพบว่ามีระดับแคลเซียมในเซลล์ที่สูงขึ้น เช่น โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) หรือในภาวะโรค ALS (Amyotrophic Lateral Sclerosis) เป็นต้น (Kawamata and Manfredi, 2010; Corona et al., 2011) ในปัจจุบันก็มีการศึกษาการใช้ยากลุ่มที่ยับยั้งแคลเซียมเข้าเซลล์ (Calcium Channel Blocker: CCB) ในการรักษาโรคดังกล่าวข้างต้นอย่างได้ผลดีอีกด้วย รวมไปถึงในโรคต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ ที่พบว่าเมื่อยาในกลุ่ม CCB เพื่อลดระดับของแคลเซียมภายในเซลล์แล้ว ทำให้อาการดีขึ้นได้ด้วย
  1. Coronary Artery Spasm (Kusama et al., 2011); Angina Pectoris (Siama et al., 2013)
  2. Anti-Atherosclerosis (Ishii et al., 2012)
  3. Pulmonary Hypertension (Montani et al., 2010)
  4. Epilepsy (Ianneti et al., 2009)
  5. Alzheimer’s disease (Anekonda and Quinn, 2011)
  6. Parkinson’s disease (Pasternak et al., 2012)
  7. Osteoporosis (rat study, Shimizu et al., 2012)

ภาวะแคลเซียมสูงขึ้นนอกเซลล์ (Increase Extracellular Calcium)

         ภาวะแคลเซียมที่สูงขึ้นภายนอกเซลล์ (Extracellular Calcium excess) ก็ส่งผลเสียด้วยเช่นกัน มีการศึกษาที่พบว่า Excess Calcification คือภาวะที่มีการเกาะตัวของแคลเซียมในบริเวณที่ไม่ใช่กระดูก โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะมีภาวะแคลเซียมเกินนำมาก่อน Guzman ได้ทำการศึกษาในปีคศ. 2007 ในชาวอเมริกันที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป พบว่าหนึ่งในสามมีการเกาะของแคลเซียมที่หลอดเลือดแดง (Arterial Calcification) และยังพบว่าค่าแคลเซียมในหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Calcium-CAC Score) สัมพันธ์กับอัตราการตายจากโรคหัวใจ รวมไปถึงอัตราการตายจากสาเหตุอื่น ๆ ด้วย  นอกจากนี้มักจะพบว่ามีการเกาะตัวของแคลเซียมผิดที่ (Ectopic Calcification) ในคนไข้ส่วนใหญ่ที่เป็นมะเร็ง 
         Bai et al ได้ศึกษาในปีคศ. 2013 ในผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากพบว่าส่วนใหญ่มีการเกาะตัวของแคลเซียมในต่อมลูกหมาก (Prostatic Calcification) และการศึกษาของ Holmberg et al. ในปีคศ. 2013 พบว่าจากการตรวจสตรีที่เป็นมะเร็งเต้านมด้วยเครื่องแมมโมแกรม (Mammography) มักจะพบว่ามีการเกาะตัวของแคลเซียมทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ (Macro-and Micro-Calcification) นอกจากนี้ ผลการศึกษาของ Zhang et al. ในปีคศ. 1997 ยังพบว่าผู้หญิงที่มีค่าความหนาแน่นของมวลกระดูกที่สูงมาก ๆ ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม  
         การศึกษาข้างต้นเหล่านี้น่าจะพอบ่งชี้ได้ว่า การมีภาวะแคลเซียมเกินนอกเซลล์ (Extracellular Calcium Excess) และการเกาะตัวของแคลเซียมผิดที่ (Ectopic Calcification) น่าจะเป็นตัวบ่งชี้หลักที่ดีและน่าเชื่อถือในการทำนายถึงการเพิ่มอัตราความเสี่ยงต่อการตายจากโรคเสื่อมต่าง ๆ ได้  และการเพิ่มขึ้นของแคลเซียมนอกเซลล์เป็นเวลานาน ๆ (Chronic Extracellular Calcium Excess) ก็จะก่อให้เกิดภาวะแคลเซียมภายในเซลล์ที่สูงขึ้นในเวลาต่อมา (Secondary Chronic Intracellular Calcium Excess) ได้อีกด้วย

ภาพประกอบที่ 3 แผนภาพสรุปแสดงให้เห็นถึงผลกระทบหากมีภาวะแคลเซียมเกินทั้งในและนอกเซลล์

(ดัดแปลงจากบทความนี้เพื่อประกอบการบรรยาย)

         นอกจากนี้ มีการศึกษาถึงความสัมพันธ์ของระดับแคลเซียมในเซลล์ (Intracellular Calcium Excess) กับการเป็นมะเร็ง และเป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า ระดับแคลเซียมในเซลล์ที่ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นก็จะยิ่งเพิ่มระดับความรุนแรงของเซลล์มะเร็งทั้งในการแบ่งตัว (Proliferation) และการลุกลามของมะเร็ง (Invasiveness/Metastatic Capacity) (Gudermann and Roelle, 2006; Kaufmann and Hollenberg, 2012; Ryu et al., 2013)

         ในทางตรงกันข้ามการขจัดแคลเซียมที่อยู่ระหว่างเซลล์ (Intracellular Space) ให้ลดลง ก็จะส่งผลทำให้ลดระดับความรุนแรงของเซลล์มะเร็งลงได้ด้วยเช่นกัน (Poch et al., 2012; Lin et al., 2010; 2013)

         สรุป การที่มีระดับแคลเซียมเพิ่มสูงขึ้นในกระแสเลือด จะนำไปสู่ภาวะแคลเซียมเกินทั้งภายในและภายนอกเซลล์ อันส่งผลต่อการเพิ่มภาวะเครียดจากออกซิเดชัน ทำให้เซลล์ตาย และนำไปสู่โรคเสื่อมต่างๆ รวมไปถึงการเกาะตัวของแคลเซียมนอกกระดูกที่มากเกินไป(Ectopic Calcification)ซึ่งพบว่าสัมพันธ์กับโรคมะเร็งหลายชนิด ดังแผนภาพที่3 

         ดังนั้น การบริโภคแคลเซียมเสริมควรพิจารณาเมื่อมีหลักฐานว่า ร่างกายขาดแคลเซียมจริง ๆ โดยอาจจะพิจารณาร่วมกับการตรวจวัดระดับแคลเซียมในเลือดเป็นระยะ ๆ หรือตรวจหาภาวะ Ectopic calcification เช่น Coronary Calcium Score ร่วมไปด้วยนั่นเอง

ทางเลือกอื่นในการป้องกันและรักษาภาวะกระดูกพรุน

ความแข็งแรงของกระดูกนั้น ขึ้นกับ 3 สภาวะ ได้แก่ 

  1. การสร้างกระดูก (แร่ธาตุ คอลลาเจน โปรตีน แคลเซียม ฮอร์โมนต่าง ๆ) ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่า สิ่งสำคัญต้องเริ่มต้นตั้งแต่สารตั้งต้นในการสร้างกระดูก ได้แก่สารอาหารในกลุ่มโปรตีน วิตามินซี วิตามินดี และวิตามินเค ส่วนแร่ธาตุที่เกี่ยวข้องกับกระดูกนั้น ไม่ได้มีเพียงแค่แร่ธาตุแคลเซียมเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีแมกเนเซียม สังกะสี ทองแดงและแมงกานีส เป็นต้น (Ryder et al., 2005) ยาบางชนิดที่อาจจะส่งผลต่อการดูดซึมสารอาหารเหล่านี้เช่น ยาลดกรด ก็เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ การให้ฮอร์โมนชดเชยเสริมต่าง ๆ เช่นฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนและโปรเจสเทอโรน (de Villiers and Stevenson, 2012) ฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเทอโรน (Torremade-Barrera et al., 2013) หรือแม้แต่ไทรอยด์ฮอร์โมน ((William, 2009; Wojcicka et al., 2013) ก็พบว่ามีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้าง ป้องกันและรักษาภาวะกระดูกพรุนได้ด้วยเช่นเดียวกัน
  2. การสลายกระดูก ควรหลีกเลี่ยงภาวะที่ส่งเสริมการสลายกระดูก เช่น การบริโภคอาหารกลุ่มแป้งและน้ำตาล น้ำหวาน น้ำอัดลม เนื้อสัตว์ เพราะจะส่งผลให้เลือดมีสภาวะเป็นกรด (ในสภาวะที่เลือดมีความเป็นกรด จะส่งเสริมการทำงานของเอนไซม์ Acid Phosphatase ส่งผลให้เกิดการสลายกระดูก) การอดอาหารนาน ๆ การบริโภคอาหารเพื่อลดน้ำหนักแบบแอทกิน (Atkin’s diet)* ก็มีผลทำให้เลือดมีสภาวะเป็นกรดได้ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ฮอร์โมนที่มีบทบาทในการควบคุมระดับแคลเซียมในเลือดได้แก่ แคลซิโทนิน (Calcitonin) และพาราไทรอยด์ (Parathyroid) ก็มีการนำมาใช้ในการช่วยเสริมสร้างกระดูก และลดการสลายกระดูกได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย
  3. ภาวะเครียดที่เกิดจากออกซิเดชันออกซิเดชัน (Ongoing oxidative stress) ได้แก่ ความเครียด การติดเชื้อ การอักเสบ สารพิษมลพิษมลภาวะ สารโลหะหนักสะสมในร่างกาย การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ หรือกาแฟ หากภาวะนี้สูงจะทำให้เกิดการทำลายกระดูก ดังนั้น การลดสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะนี้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน โดยอาจจะร่วมไปกับการให้เสริมสารอาหารที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ เช่น เบต้าแคโรทีน วิตามินอี แอลฟาไลโปอิกแอซิด (Alpha lIpoic Acid) NAC และกลูตาไธโอน (Glutathione)  เพื่อช่วยลดภาวะเครียดที่เกิดจากออกซิเดชัน อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมการล้างสารพิษของร่างกาย (Liver Detoxification) ไปพร้อมกันด้วย นอกจากนี้สารลดการอักเสบอื่น ๆ ได้แก่ กรดไขมันโอเมก้า3 ก็มีบทบาทสำคัญในการป้องกันและรักษาภาวะกระดูกพรุนได้ด้วยเช่นกัน (Farina et al., 2012; Moon et ai., 2012) การพิจารณาการล้างโลหะหนักออกจากร่างกายหรือคีเลชัน ก็มีบทบาทสำคัญเพราะโลหะหนักจะทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของอนุมูลอิสระในร่างกายนั่นเอง

ภาพประกอบที่ 4 แผนภาพสรุปแนวทางการเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง


Atkin’s diet* เป็นการควบคุมอาหารโดยจำกัดกลุ่มคาร์โบไฮเดรต และเน้นการบริโภคอาหารกลุ่มโปรตีนและไขมันสูง ซึ่งเมื่อร่างกายเผาผลาญอาหารกลุ่มโปรตีนและไขมันแทนคาร์โบไฮเดรต จะเกิดสารคีโตนในร่างกายเป็นปริมาณมาก ส่งผลให้เกิดภาวะเลือดเป็นกรด (Ketoacidosid)

         นอกจากนี้แล้ว การออกกำลังกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเภทที่มีการลงน้ำหนักกับกระดูก (Weight Bearing Exercise) เช่น การวิ่ง บาสเกตบอล วอลเล่ย์บอล ก็มีความสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกเช่นกัน แต่ในผู้สูงอายุอาจจะต้องระมัดระวังในรายที่มีปัญหาเรื่องข้อเข่าหรือกระดูกสันหลัง การออกกำลังกายแบบยกน้ำหนักเฉพาะส่วน (Resistance Training) เช่น การยกน้ำหนัก อาจจะช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ และยังสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อได้อีกด้วยเช่นกัน

         แพทย์บางท่านอาจจะมีการเลือกใช้ยาอื่นเสริมอย่างเฉพาะเจาะจง เช่น SERM (Selective Estrogen Receptor Modulators), Biphosphanates, Calcitonin, Strontium ranelate และ Parathyroid Hormone ซึ่งควรพิจารณาให้ภายหลังจากที่คนไข้ให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตัวในการปรับปรุงวิถีชีวิตและให้สารต่าง ๆ ข้างต้นเสริมไปจนครบหมดแล้ว แต่ยังไม่ให้ผลลัพธ์ที่ดีมากเพียงพอ (Satisfactory Clinical Outcome) พึงระลึกไว้เสมอว่า ยาต่าง ๆ ที่กล่าวข้างต้น อาจจะมีผลข้างเคียงที่ยังจะต้องควรจะต้องระมัดระวังด้วยเช่นกัน

         ดังนั้น ในการพิจารณาสารเสริมอาหารเพื่อใช้ในการรักษาหรือป้องกันภาวะกระดูกพรุนนั้น ควรเริ่มตั้งแต่สารอาหารในกลุ่มโปรตีน วิตามินซี วิตามินดี และวิตามินเค เป็นพื้นฐานเบื้องต้นก่อน หลังจากนั้นจึงค่อยพิจารณาการให้เสริมในกลุ่มเกลือแร่ อันได้แก่กลุ่มแคลเซียมหรือแร่ธาตุอื่น ๆ โดยจะต้องพิจารณาให้แน่ชัดว่า คนไข้นั้นมีภาวะการขาดแร่ธาตุแคลเซียมจริง ๆ หรือไม่ และไม่มีภาวะแคลเซียมเกิน (โดยดูจากระดับแคลเซียมในเลือด การตรวจ Coronary Calcium Score หรือการค้นหาภาวะแคลเซียมเกาะตัวผิดที่อื่น ๆ ประกอบกัน) ในขณะเดียวกันหากจะทานสารเสริมอาหารแคลเซียม ก็ควรจะมั่นใจว่าร่างกายไม่ได้มีภาวะขาดวิตามินซี ดี หรือเค มิฉะนั้นแล้วแคลเซียมที่ได้เสริมเข้าไปก็อาจจะไม่ได้ไปสะสมที่กระดูก แต่อาจจะก่อให้เกิดปัญหาหรือผลกระทบดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนั่นเอง

บทสรุป

         ในภาวะกระดูกบางและกระดูกพรุนของผู้สูงอายุซึ่งตรวจพบจากการตรวจ BMD ว่ามีแคลเซียมสะสมในกระดูกลดน้อยลง อาจจะไม่ได้หมายความว่าร่างกายขาดแคลเซียมเสมอไป แต่อาจจะเกิดจากการขาดโปรตีน วิตามินซี วิตามินดี และวิตามินเค อันเป็นองค์ประกอบสำคัญพื้นฐานของการสร้างกระดูก ซึ่งทำให้แร่ธาตุแคลเซียม รวมไปถึงแร่ธาตุต่าง ๆ ไม่สามารถเข้าไปสะสมที่กระดูกได้ ดังนั้น การให้สารเสริมอาหารแคลเซียมในกรณีเหล่านี้ อาจจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแคลเซียมสูงขึ้นทั้งนอกเซลล์ (Extracellular fluid) และภายในเซลล์ (Intracellular calcium) ซึ่งภาวะเหล่านี้ทำให้เพิ่มภาวะเครียดที่เกิดจากออกซิเดชัน  (Oxidative Stress) ภายในเซลล์ และนำมาซึ่งโรคเสื่อมต่าง ๆ  (Chronic Degenerative Diseases) ภาวะแคลเซียมสะสมอยู่ผิดที่ (Ectopic Calcification) รวมไปถึงการเพิ่มปัจจัยที่ส่งผลต่อการกลายเป็นมะเร็ง (Malignant Transformation) ได้อีกด้วย
         การพิจารณาให้แคลเซียมเสริม ควรพิจารณาด้วยว่าร่างกายขาดแคลเซียมจริงหรือไม่ การวัดระดับแคลเซียมในเลือด การวัดระดับแคลเซียมสะสมที่หลอดเลือดหัวใจ (Coronary Calcium Score) อาจจะใช้เป็นตัวช่วยในการพิจารณา เพื่อป้องกันปัญหาของการให้แคลเซียมเสริมเกินความจำเป็น

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *