Anti-Aging แอนไทเอจจิ้ง คืออะไร
หลายคนอาจคุ้นเคยกับคำๆนี้ แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจและเห็นแจ้งกับศาสตร์นี้อย่างจริงจัง หากถามว่า แอนไทเอจจิ้งคืออะไร บ้างก็คิดถึงเรื่องของการชะลอริ้วรอย ทำหน้าเด็ก อ่อนเยาว์ด้วยการฉีดโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ หรือเลเซอร์ต่างๆ บ้างก็นึกถึงเรื่องของสเต็มเซลล์ไปนู่นเลย บ้างก็บอกว่าเป็นเรื่องล้างพิษ การสวนล้างลำไส้ การทำคีเลชั่น และบ้างก็บอกว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ (หรือว่าเป็นวิธีหลอกกินตังแบบใหม่???) 5555 คอลัมน์นี้จึงขอนำเสนอเรื่องราวของ ศาสตร์แอนไทเอจจิ้ง ว่าจริง ๆ แล้วมันคืออะไร
ศาสตร์แขนงนี้ถือกำเนิดมาไม่นานนัก ในแถบยุโรปและอเมริกาและได้รับความนิยมอย่างสูงจนเริ่มแพร่หลายเข้ามาในแถบโซนเอเซีย เกาหลี ญี่ปุ่นและไทย แต่เดิมอาจจะนิยมในหมู่ราชนิกูล เศรษฐี หรือคนมีตังที่อยากให้ตนเองดูดี อ่อนเยาว์ แข็งแรง ไม่ป่วย และต้องสวยกว่าอดีตอีกด้วย
แต่จริงๆ แล้วศาสตร์แขนงนี้มิได้จำกัดแต่ในหมู่คนมีเงินเท่านั้น แต่ทุกๆคนก็สามารถสัมผัสได้เพราะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ การดูแลร่างกายของเราถึงในระดับเซลล์ให้มีสุขภาพสมบูรณ์สูงสุด (Optimal Health) ทั้งในด้านสารอาหาร กรดอะมิโน วิตามิน เกลือแร่ ฮอร์โมนส์ สารสื่อประสาท สารแอนติออกซิแดนท์ เมื่อเซลล์หรืออวัยวะของร่างกายเรามีระดับของสารเหล่านี้อยู่ในระดับที่สมบูรณ์สูงสุด ร่างกายเราก็จะทำงานได้อย่างเต็มที่ เต็มความสามารถ การซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอก็จะเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ การป้องกันตนเองจากการเสื่อม การถูกทำลายจากมลพิษมลภาวะต่างๆ ก็จะทำได้อย่างเต็มที่ โอกาสที่เซลล์ของเราจะเสื่อมสภาพ บาดเจ็บ หรือสึกหรอก็จะน้อยลง เพราะเราเชื่อว่าความชรา ไม่ได้เกิดเพราะเวลาหรืออายุที่เพิ่มขึ้นแต่เพียงอย่างเดียว แต่มีต้นเหตุและปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เราก้าวเข้าสู่ความชราไม่เท่ากัน ดังนั้น หากเรารู้ถึงสาเหตุเหล่านั้น และหาวิธีป้องกัน แก้ไข หรือปรับสมดุล เราก็อาจจะชะลอความชรา หรือป้องกันสภาวะการเสื่อม หรือความเจ็บป่วยบางอย่างไม่ให้เกิดขึ้นในอนาคตได้ (เหมือนกับที่ศาสตร์ของแพทย์แผนปัจจุบัน ที่คิดว่าความเจ็บป่วยต่างๆ ต้องมีต้นเหตุ หากเรารู้ เราก็จะหาวิธีจัดการกับมัน และกลายเป็นแบบแผนการรักษาตามมาตรฐานต่างๆ ของโรคภัยไข้เจ็บต่างๆที่เราคุ้นเคยในปัจจุบันนั่นเอง)
ดังนั้น ในวัฏจักรของสิ่งมีชีวิต เกิด แก่ เจ็บ ตาย มนุษย์เราได้พยายามเอาชนะโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ด้วยศาสตร์ของแพทย์แผนปัจจุบันมาแล้ว ตอนนี้มนุษย์เราจึงเริ่มคืบคลานไปเพื่อเอาชนะความแก่ ซึ่งเราไม่เชื่อว่ามันเป็นเรื่องของธรรมชาติแต่เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป นี่จึงเป็นที่มาของกำเนิดแห่งศาสตร์ชะลอวัยแขนงนี้ นอกจากนั้น ยังมีข้อน่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งก็คือ ศาสตร์ของแพทย์แผนปัจจุบันที่เจริญก้าวหน้าอย่างแทบจะเรียกได้ว่าถึงขีดสุดในปัจจุบันตั้งแต่สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (เกือบๆ 60 ปีแล้ว) เราเคยเชื่อว่าศาสตร์แขนงนี้น่าจะทำให้ผู้คนมีสุขภาพดีถ้วนหน้า (คือไม่ป่วยกันเลย) ในปีค.ศ. 2000 (คุ้นๆกันมั๊ยสโลแกนนี้) แต่จนแล้วจนรอดก็ยังเป็นไปไม่ได้ แถมจำนวนคนป่วยก็ไม่ได้ลดน้อยถอยลงอีกต่างหาก แถมยังมีโรคประหลาดๆ เกิดขึ้นที่ไม่เคยพบเจอในยุคก่อน หรือเพราะความเจริญทางเทคโนโลยี และสารเคมีต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้น กลับกลายเป็นต้นเหตุแห่งความเสื่อมถอยของร่างกายเราเอง จึงเป็นข้อคิดที่น่าสนใจว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น หรือศาสตร์แพทย์แผนปัจจุบันเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ แล้วต้นเหตุที่แท้จริงอยู่หนใด ใครจะเป็นผู้แก้ไข (หรือจะเป็นศาสตร์ชะลอวัย)
นอกจากนี้ เรายังพบว่าอายุขัยของมนุษย์ยืนยาวมากขึ้นเรื่อยๆ โรคแห่งความเสื่อมทั้งหลายจึงพบเจอมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเช่นกัน ตัวเราก็อาจจะเป็นคนส่วนใหญ่ในยุคอนาคตที่อาจจะตายตอนอายุ 80 90 หรือ 100 ปี ตามค่าเฉลี่ยของอายุขัยที่มนุษย์เสียชีวิต คืออายุยืนว่างั้นเถอะถ้าหากเรามีโรคเสื่อมรุมเร้ามากมาย ไม่ว่าโรคหัวใจ สมองเสื่อม ข้อเสื่อม กระดูกเสื่อม รวมไปถึงสมรรถภาพของร่างกายเสื่อมแล้วจะมีประโยชน์อะไรที่อายุยืนยาวแต่อยู่แบบเสื่อม ๆ ไม่มีอะไรน่าพิสมัยสู้ตายแล้วไปเกิดใหม่ดีกว่าเพราะอาจจะมีชีวิตที่สดใสไฉไลกว่าเดิมก็ได้
ศาสตร์แขนงนี้จึงเป็นคำตอบสำหรับปัญหาที่กล่าวมาข้างต้น มีที่มาที่ไป มีการค้นคว้าวิจัยมากมาย และเริ่มได้รับการยอมรับมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (Holistic Approach) ที่ดูแลทั้งในด้านอาหารการกิน การนอน การออกกำลัง การพักผ่อน จิตใจ ความเครียด โดยมีทฤษฎีและวิธีปฏิบัติที่สอดคล้องกับสรีระวิทยา สารชีวะเคมีในร่างกายของแต่ละบุคคล ซึ่งไม่ใช่แค่สุขศึกษาหรือสุขอนามัยแบบพื้น ๆ ที่เราต่างคุ้นเคย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เจ้าตัวจะต้องให้ความร่วมมือในการปฏิบัติ รวมไปถึงมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงที่มาที่ไปของการปฏิบัติแบบนั้น (พูดง่าย ๆคือความสำเร็จของศาสตร์นี้ขึ้นอยู่กับเจ้าตัวถึง 70-80 เปอร์เซนต์ หมอมีส่วนช่วยชี้แนะหรือให้การรักษา 20-30 เปอร์เซนต์ ตรงกันข้ามกับศาสตร์แพทย์แผนปัจจุบันซึ่งขึ้นอยู่กับหมอ 70-80 เปอร์เซนต์ และขึ้นอยู่กับคนไข้ 20-30 เปอร์เซนต์) นอกจากนี้ยังมีตัวช่วยต่าง ๆ ที่เราหลายคนอาจจะคุ้นเคยและคุ้นหูนั่นก็คือ เรื่องราวของสารเสริมอาหาร ฮอร์โมนส์ สารต้านการอักเสบ สารแอนติออกซิแดนท์ การล้างพิษ (ไม่ว่าจะเป็นการล้างด้วยอาหาร การสวนล้างลำไส้ หรือการล้างสารพิษโลหะหนัก-คีเลชั่น) การใช้สเต็มเซลล์ การใช้แพทย์ทางเลือก (Alternative medicine) หรือศาสตร์ความงาม (Aesthetic Dermatology) มาร่วมด้วยช่วยกัน เพื่อให้สวยและแข็งแรงจากภายในจรดภายนอกเลยทีเดียว ซึ่งในส่วนตัวช่วยหลังจากนี้แหละที่ต้องอาศัยผู้ชำนาญการหรือแพทย์ที่ศึกษาเฉพาะทางทางด้านนี้แหละที่จะให้คำแนะนำได้อย่างชัดเจน และเกิดผล
นอกจากนี้เราพบว่า โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ของแพทย์แผนปัจจุบันนั้น ก็ยังมีอีกหลายโรคที่เรายังไม่รู้สาเหตุที่แน่นอน และยังไม่มีวิธีการรักษาที่ถึงกับทำให้หายขาดได้ ในศาสตร์ชะลอวัยเราพบว่าโรคเหล่านี้น่าจะเกี่ยวข้องกับสภาวะการทำงานของร่างกายที่แย่ลง จนทำให้เกิดโรค (Functional change) หากเราไปแก้ที่ต้นเหตุเหล่านั้น ก็น่าจะทำให้อาการของโรคทุเลาขึ้น หรือร่วมกับการรักษาแบบแพทย์แผนปัจจุบันก็น่าจะทำให้สัมฤทธิ์ผลได้ดีกว่าเดิม เช่น
- โรคสิวเรื้อรังในผู้ใหญ่
- โรคเซ็บเดิร์ม (Seborrheic dermatitis)
- โรคแพ้ภูมิตัวเองต่าง ๆ (Autoimmune disease)
- โรคอ้วนลงพุง (Metabolic X syndrome)
เป็นต้น ซึ่งโรคเหล่านี้ เราเชื่อว่าอาจมีต้นเหตุมาจาก
- ภาวะลำไส้รั่วซึม (Leaky gut syndrome)
- การแพ้อาหารแฝง (Food Intolerance or IgG food Allergy)
- สารพิษโลหะหนักในร่างกาย (Heavy metals)
- การดื้ออินซูลิน (Insulin resistance)
เหล่านี้เป็นต้น หากอยากรู้เรื่องราวดีๆ แบบนี้ ซึ่งเป็นแก่นแท้ของศาสตร์ชะลอวัยแบบแท้จริง โปรดติดตามตอนต่อไปในฉบับหน้าครับ